top of page
รูปภาพนักเขียนPanida Karlsson

7 Figma Tricks You Didn’t Know Could Transform Your UX Design 🎨✨



เจาะลึกวิธีใช้ Figma อย่างมีประสิทธิภาพจาก Coglode’s Figma Resources เพื่อยกระดับโปรเจกต์ UX ของคุณ 🚀


สวัสดีค่า UX Designers ทุกคน! 👋 สำหรับใครที่ทำงานในสาย UX Design คงคุ้นเคยกับ Figma กันอยู่แล้วใช่ไหมคะ? แต่คุณรู้ไหมว่า Figma มีฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้การออกแบบ UX ง่ายขึ้นได้มากมาย วันนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีการใช้ Figma จาก Coglode’s Figma Resources ที่จะช่วยให้คุณใช้ Figma อย่างมีประสิทธิภาพในโปรเจกต์ UX จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Auto Layout, Variants, หรือการจัดการ Team Library ลองมาดูกันว่าฟีเจอร์เหล่านี้มีอะไรที่ช่วยให้การออกแบบของคุณสะดวกขึ้นและเป็นระบบมากขึ้นค่ะ! 🎉


 

  1. Auto Layout: จัดการองค์ประกอบอย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดเรียงใหม่ 🚀

Auto Layout ใน Figma คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณจัดเรียงและจัดขนาดขององค์ประกอบในดีไซน์ได้อย่างอัตโนมัติ เช่น ปุ่ม (Button), การ์ด (Card) หรือฟอร์ม (Form) คุณสามารถตั้งค่า Auto Layout ให้จัดเรียงตามแนวตั้งหรือแนวนอนได้อย่างง่ายดาย

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อต้องการสร้าง Button ที่มีขนาดตามข้อความโดยอัตโนมัติ เพียงแค่ตั้งค่าให้ Auto Layout จัดขนาดตามข้อความของ Button นั้นๆ ก็ไม่ต้องมาคอยปรับขนาดใหม่ทุกครั้งที่แก้ไขข้อความใน Button!

ประโยชน์: Auto Layout ช่วยให้การปรับแต่งองค์ประกอบรวดเร็วและแม่นยำ ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และช่วยให้ทีมมีความสอดคล้องกันในด้านดีไซน์ #AutoLayout #FigmaTips #UXDesign


 

  1. Variants: จัดการ Component ที่ซับซ้อนได้อย่างมืออาชีพ 💎

ฟีเจอร์ Variants ช่วยให้คุณสามารถสร้าง Component แบบต่างๆ ในรูปแบบของ Variants ได้ในที่เดียว เช่น Button หลายสี หลายขนาด หรือฟอร์มที่มีดีไซน์ที่แตกต่างกัน คุณไม่จำเป็นต้องสร้าง Component หลายชุดแยกกัน Variants จะช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ครอบคลุมการใช้งานได้กว้างขึ้น

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

สร้าง Button ที่มีหลายขนาด (เล็ก กลาง ใหญ่) และหลายสีไว้ใน Component เดียวกัน เพื่อให้ทีมสามารถเลือกใช้งานได้ตามต้องการโดยไม่ต้องคัดลอกหรือสร้างใหม่หลายครั้ง

ประโยชน์: Variants ช่วยให้ทีม UX สามารถใช้องค์ประกอบที่สอดคล้องและเป็นระเบียบ ลดเวลาในการสร้างใหม่ทุกครั้ง และทำให้การจัดการ Component ง่ายขึ้น #Variants #FigmaComponents #DesignEfficiency


 

  1. Team Library: รวบรวม Resource ไว้ในที่เดียวเพื่อการใช้งานร่วมกัน 🗂️

สำหรับทีมที่ต้องทำงานร่วมกันหลายคน ฟีเจอร์ Team Library เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึง Component, สี, และสไตล์ได้ง่ายจากที่เดียว ลดปัญหาการใช้ Resource ที่ไม่ตรงกัน

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อคุณสร้าง Component เช่น ปุ่ม หรือ Card ที่ใช้บ่อยในโปรเจกต์ คุณสามารถเก็บมันไว้ใน Team Library เพื่อให้ทุกคนในทีมสามารถดึงไปใช้ในโปรเจกต์อื่นๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องสร้างใหม่

ประโยชน์: Team Library ทำให้การทำงานร่วมกันในทีมง่ายขึ้น เพราะทุกคนสามารถใช้งาน Resource เดียวกันและตรงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ #TeamLibrary #ResourceSharing #UXCollaboration


 

  1. Grids and Layouts: การวาง Layout ให้เป็นระเบียบ 📐

การใช้ Grids and Layouts ทำให้ดีไซน์ดูเป็นระเบียบและสวยงามมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานในโปรเจกต์ที่ต้องมีความสอดคล้องกัน เช่น แพลตฟอร์มที่มีหลายหน้า หรือแอปพลิเคชันที่ต้องการโครงสร้างที่เป็นระบบ

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

ใช้ Grids เพื่อจัดวางองค์ประกอบในหน้าให้สอดคล้องกัน ทั้งในหน้าจอ Desktop หรือ Mobile ไม่ว่าจะเป็นการจัดกลุ่มข้อมูล รูปภาพ หรือปุ่มต่างๆ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเป็นดีไซน์ที่มีระเบียบและใช้งานง่าย

ประโยชน์: Grids ช่วยให้การจัดวางองค์ประกอบเป็นไปอย่างมีแบบแผน ลดปัญหาการจัดเรียงที่ไม่สอดคล้อง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าใช้งานได้สะดวก #Grids #LayoutDesign #UXConsistency


 

  1. Design Tokens: บริหารสีและฟอนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🎨

Design Tokens ช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าสี ฟอนต์ และขนาดขององค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างสอดคล้องกันทั้งโปรเจกต์ โดยสามารถแก้ไขได้จากที่เดียวและกระจายไปยังทุกองค์ประกอบที่ใช้ค่าที่ตั้งไว้นี้

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

เมื่อคุณต้องการเปลี่ยนสีหลักของโปรเจกต์ คุณสามารถปรับที่ Design Tokens เพียงจุดเดียว ทุกองค์ประกอบที่ใช้สีนี้ก็จะถูกอัปเดตตามไปด้วย

ประโยชน์: Design Tokens ทำให้การปรับเปลี่ยนสีและฟอนต์ในโปรเจกต์ทั้งหมดเป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ทีมรักษาความสอดคล้องในการออกแบบได้อย่างมืออาชีพ #DesignTokens #UXConsistency #FigmaEfficiency


 

  1. Inspect Mode: แสดงรายละเอียดให้นักพัฒนาดูได้ง่าย 👩‍💻

เมื่อทำงานร่วมกับนักพัฒนา การใช้ Inspect Mode ช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น เช่น ขนาดขององค์ประกอบ สี ฟอนต์ และระยะห่าง ซึ่งทำให้การแปลงดีไซน์เป็นโค้ดทำได้ง่ายและแม่นยำขึ้น

วิธีใช้ในโปรเจกต์จริง:

หลังจากออกแบบเสร็จ คุณสามารถให้ทีมพัฒนาใช้ Inspect Mode ใน Figma เพื่อดูรายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมอื่นหรือต้องถามจากนักออกแบบ

ประโยชน์: Inspect Mode ช่วยลดความยุ่งยากในการสื่อสารระหว่างนักออกแบบและนักพัฒนา ทำให้การทำงานร่วมกันราบรื่นยิ่งขึ้น #InspectMode #DeveloperFriendly #DesignCollaboration


 

สรุป: Figma คือเครื่องมือที่ทุกคนควรใช้ในการพัฒนา UX!

การใช้ Coglode’s Figma Resources ช่วยให้ทีม UX สามารถใช้ Figma ได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดาย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือโปรในวงการ UX ฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยให้การออกแบบของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสอดคล้องกันในทุกด้าน


พร้อมเริ่มใช้งาน Figma แล้วหรือยัง? 💥

ถ้าคุณอยากลองใช้ Figma ให้มีประสิทธิภาพ ลองเข้าไปดู Coglode’s Figma Resources ได้ที่ Coglode Figma Resources และอย่าลืมกดติดตามเพจ UX-Skill ของเรานะคะ เพื่อรับเทคนิคดีๆ และแรงบันดาลใจในการทำ UX ทุกวัน! 🌟 #FigmaTips #CoglodeResources #UXSkill #DesignEfficiency #TeamCollaboration #UXConsis

ดู 2 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page